การสังหารผู้บริสุทธิ์โดยเจตนา คือหนึ่งในบาปใหญ่
Powered by OrdaSoft!
No result.

การสังหารผู้บริสุทธิ์โดยเจตนา คือหนึ่งในบาปใหญ่

     การสังหารผู้บริสุทธิ์โดยเจตนา เป็นหนึ่งในบาปใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดการลงโทษที่รุนแรงไว้ คัมภีร์อัลกุรอานให้ความสำคัญอย่างมากในการรักษาเกียรติและชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ เมื่อใดก็ตามที่ผู้บริสุทธิ์ถูกสังหาร นั้นหมายถึงสิทธิในการมีชีวิตและการดำเนินชีวิตถูกเอาออกไปจากเขา สิทธิและเนี๊ยะอ์มัต (ความโปรดปราน) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานให้แก่เขาต้องถูกลิดรอนไปจากเขาอย่างไม่พึงประสงค์

    ในทัศนะของอิสลาม ชีวิตของมนุษย์ทุกคน (ไม่มีความแตกต่างกันว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม) เป็นสิ่งที่จะต้องได้รับการเคารพ และการเอาชีวิตนั้นเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งพระองค์คือผู้ทรงให้ชีวิตแก่มนุษย์ นอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิที่จะลิดรอนผู้อื่นในสิทธิและเนี๊ยะอ์มัต (ความโปรดปราน) ดังกล่าวนี้ของพระผู้เป็นเจ้าได้

    ดังที่กล่าวไปแล้วว่า คัมภีร์อัลกุรอานให้ความสำคัญอย่างมากในการเคารพให้เกียรติและการรักษาชีวิตของเพื่อนมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ ความสำคัญและคุณค่าดังกล่าวนี้มีมากถึงขั้นที่ว่า การสังหารชีวิตของคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียวเท่ากับการสังหารมนุษย์ทั้งมวล จากจุดนี้เองพระผู้เป็นเจ้าจึงทรงสั่งห้ามผู้ศรัทธาไว้อย่างรุนแรงไม่ให้สังหารผู้บริสุทธิ์โดยเจตนา ในคัมภีร์อัลกุรอาน พระองค์ได้ทรงตรัสว่า

مَن قَتَلَ نَفْسًا بِغَيْرِ نَفْسٍ أَوْ فَسَادٍ فِي الْأَرْضِ فَكَأَنَّمَا قَتَلَ النَّاسَ جَمِيعًا

"... ผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล..." (1)

ในอีกโองการหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงชี้ถึงผลตอบแทนและการลงโทษอย่างรุนแรงไว้สำหรับบรรดาผู้ที่จงใจสังหารผู้ศรัทธา โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า

وَمَن يَقْتُلْ مُؤْمِنًا مُّتَعَمِّدًا فَجَزَاؤُهُ جَهَنَّمُ خَالِدًا فِيهَا وَغَضِبَ اللَّـهُ عَلَيْهِ وَلَعَنَهُ وَأَعَدَّ لَهُ عَذَابًا عَظِيمًا

“และผู้ใดสังหารผู้ศรัทธาโดยเจตนา ดังนั้นการตอบแทนของเขาก็คือนรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮ์ก็ทรงกริ้วโกรธเขา และทรงสาปแช่งเขา (คือขับออกจากความเมตตาของพระองค์) และทรงเตรียมการลงโทษอันใหญ่หลวงไว้แล้วสำหรับเขา” (2)

    1.การเข้าอยู่ในนรกเป็นนิรันดร์

مَنْ یَقْتُلْ مُؤْمِناً مُتَعَمِّداً فَجَزاؤُهُ جَهَنَّمُ خالِداً فیها

“ผู้ใดสังหารผู้ศรัทธาโดยเจตนา ดังนั้นการตอบแทนของเขาก็คือนรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล”

    2.ความพิโรธและความกริ้วโกรธของพระผู้เป็นเจ้า

وَ غَضِبَ اللَّهُ عَلَیْهِ

“และอัลลอฮ์ก็ทรงกริ้วโกรธเขา”

    3.การถูกสาปแช่งและถูกผลักไสออกจากความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า

وَ لَعَنَهُ

“และทรงสาปแช่งเขา (คือขับออกจากความเมตตาของพระองค์)”

    4.การเตรียมการลงโทษที่ใหญ่หลวงไว้สำหรับเขา

وَ أَعَدَّ لَهُ عَذاباً عَظیم

“และทรงเตรียมการลงโทษอันใหญ่หลวงไว้แล้วสำหรับเขา”

    วันนี้เราได้เห็นการฆ่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน ปาเลสไตน์ ซีเรีย อียิปต์และในที่อื่นๆ โดยบรรดาเดรัจฉานในร่างของมนุษย์ ซึ่งความเป็นมนุษย์เป็นเพียงชื่อของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะความผิดที่มีความเชื่อทางศาสนาไม่เหมือนกับพวกเขา และพวกเขามีความภาคภูมิใจที่ได้สังหารบุคคลเหล่านั้น

    ใช่แล้ว! ชาวซะละฟีตักฟีรีจะเกลียดชังมนุษย์ทุกคน ซึ่งตามการอรรถาธิบายอย่างผิวเผินของพวกเขานั้น พวกเขาถือว่าบุคคลเหล่านั้นคือผู้ปฏิเสธอิสลาม และการตัดสินชี้ขาดของพวกเขาในกรณีนี้ก็คือ “จงตัดศีรษะของพวกเหล่านั้น”

    ลักษณะและพฤติกรรมของพวกตักฟีรีเหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงความหลงตัวเองอย่างรุนแรงของพวกเขา และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับธรรมชาติและเนื้อแท้ของศาสนา พวกเขามีความเชื่อในความเหนือกว่าของตัวเอง และยอมรับแค่เพียงตัวของพวกเขาเองเท่านั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองพวกเขาจึงมองว่าตนเองมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะฆ่าสังหารผู้ที่มีความเชื่อที่แตกต่างกับตนเอง

    กลุ่มตักฟีรีเหล่านี้เชื่อว่า เลือดของมนุษย์ทุกคนที่ไม่ใช่พวกของตนเองนั้น เป็นที่อนุมัติ (มุบาห์) ช่างเป็นความเจ็บปวดอย่างแท้จริงสำหรับมนุษย์ ทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ทรงถือว่ามนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุด แต่ทว่ามีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับมนุษย์ แต่มีพฤติกรรมและอุปนิสัยใจคอเหมือนกับสัตว์ร้าย โดยมิได้สนใจใยดีต่อพระผู้ทรงสร้างมนุษย์ ที่พวกเขาได้ให้อำนาจกับตนเองในการฆ่าสังหารและปลิดชีวิตของมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ลงภายในพริบตา ด้วยจิตใจที่เหี้ยมโหดและอำมหิต


แหล่งที่มา :

[1] อัลกุรอานบทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 32

[2] อัลกุรอานบทอันนิซาอ์ โองการที่ 93


บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2017 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้อิสลามสำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 810 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

9809795
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
15163
66939
285340
9045061
1661329
2060970
9809795

พฤ 25 เม.ย. 2024 :: 05:10:04