เหตุใดเมื่อมีการระบาดของไวรัสโคโรนาอะมั้ลที่เป็นมุสตะฮับบางอย่างจึงเป็นที่ต้องห้าม
Powered by OrdaSoft!
No result.

เหตุใดเมื่อมีการระบาดของไวรัสโคโรนาอะมั้ลที่เป็นมุสตะฮับบางอย่างจึงเป็นที่ต้องห้าม

    “เมื่อใดก็ตามที่โรคติดต่อเกิดการแพร่ระบาด การอิบาดะฮ์ในรูปของญะมาอัต (การกระทำร่วมกันเป็นหมู่คณะ) และอะมั้ลที่เป็นมุสตะฮับ (สุนัต) ทั้งหมด ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการแพร่กระจายของโรคนั้นจะกลายเป็นฮะรอม (ต้องห้าม)”

     ในช่วงเวลาที่โรคติดต่อเกิดการแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางในสังคม การอิบาดะฮ์ในรูปของญะมาอัต (อย่างเช่น การนมาซญะมาอัต การนมาซวันศุกร์และพิธีกรรมต่างๆ ที่มีการรวมตัวกันของผู้คน) รวมถึงการกระทำ (อะมั้ล) ที่เป็นมุสตะฮับหรือสุนัตอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การแพร่กระจายและการระบาดของโรคมากยิ่งขึ้นนั้น จะตกจากความเป็นมุสตะฮับ (สุนัต) ไปและจะเข้าอยู่ในกฏ (ฮุก่ม) ของการกระทำที่ต้องห้าม (ฮะรอม) เนื่องจากในกรณีเช่นนี้การรักษาชีวิตและสุขภาพของตัวเองและผู้อื่นจะมาก่อนและมีความสำคัญมากกว่า และด้วยเหตุนี้เองการจาริกแสวงบุญ (ซิยารัต), การเข้าสังคม, การเชื่อมสัมพันธ์ทางเครือญาติ, การนมาซญะมาอัต, การปรากฏตัวในฮะรัม (สถานที่สำคัญทางศาสนา) , สุสานและอื่นๆ ทั้งหมดเหล่านี้จะเป็นสิ่งต้องห้ามและไม่อนุญาตในช่วงเวลาที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น

     ริวายะฮ์ (คำรายงาน) ต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวถึงเกี่ยวกับความเป็นมุสตะฮับ (สุนัต) ของการจับมือ การสวมกอดและการจูบ ในขณะที่พบปะและทักทายกัน รวมทั้งความเป็นมุสตะฮับของการไปมาหาสู่และการเชื่อมสัมพันธ์ต่อเครือญาติ การปรากฏตัวในฮะรัม ในมัสยิดและสุสานและอื่นๆ นั้นเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นปกติ แต่ในช่วงเวลาที่มีโรคติดต่อหรือโรคระบาดเกิดขึ้นในสังคมนั้น ความเป็นมุสตะฮับของการกระทำเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะถูกระงับชั่วคราวแล้ว ทว่ายังถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) อีกด้วย เนื่องจากเกิดการเผชิญหน้ากัน (ตะอารุฎ) และการประดังกัน (ตะซาฮุม) ระหว่างความเป็นมุสตะฮับของการกระทำเหล่านี้และการก่อให้เกิดอันตรายของมัน และในการเผชิญหน้ากัน (ตะอารุฎ) และการประดังกัน (ตะซาฮุม) ดังกล่าวนี้กฎทางนิติศาสตร์อิสลามประการหนึ่งที่เรียกว่า "กฎของการไม่ก่ออันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น" (قاعدة لا ضرر ولا ضرار) จะถูกนำมาใช้ในการตัดสินชี้ขาด (1) และหากการรวมตัวและการเข้าสังคมใดๆ ก็ตามจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น ก็จะถูกตัดสิน (ฮุก่ม) ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ด้วยเช่นกัน เนื่องจากตามกฎนี้ การก่ออันตรายต่อตัวเองหรือผู้อื่นนั้นถือเป็นสิ่งต้องห้าม

     ดังนั้นแม้ว่าการนมาซญะมาอัต การขอดุอาอ์ร่วมกันแบบหมู่คณะ การเยี่ยมเยือนและการเชื่อมสัมพันธ์ต่อเครือญาติและอื่นๆ จะเป็นมุสตะฮับ แต่เมื่อใดก็ตามที่มันจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค ดังนั้นความเป็นมุสตะฮับของมันก็จะตกไป และฮุก่ม (กฎ) ของความเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ก็จะเข้ามาแทนที่ ทั้งนี้เนื่องจากคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า :

وَلاَ تُلْقُواْ بِأَيْدِيكُمْ إِلَى التَّهْلُكَةِ

 "และพวกเจ้าอย่าได้นำตัวเองสู่ความหายนะ" (อัลกุรอานบทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 195)

     บางคนอาจจะคาดคิดว่า "ความหายนะ" (ตะฮ์ลุกะฮ์) นั้น หมายถึงความตายเพียงเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ ความหมายของคำว่า ความหายนะ (ตะฮ์ลุกะฮ์) นั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความตายเพียงเท่านั้น แต่ทว่าความตายเป็นตัวอย่างสูงสุดและชัดเจนที่สุดของมัน และการทำลายสุขภาพก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของความหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย (2) การรักษาชีวิตและสุขภาพจึงเป็นวาญิบ (หน้าที่จำเป็น) ดังนั้นการระวังรักษาสุขภาพและการป้องกันโรคภัยต่างๆ เพื่อเป้าหมายในการปกป้องชีวิตของตัวเองและผู้อื่นจึงเป็นวาญิบ (หน้าที่จำเป็น)

    ดังนั้นพฤติกรรมและการกระทำใดๆ ก็ตามที่เป็นสาเหตุของการทำลายสุขภาพ แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นมุสตะฮับหรือสุนัตก็ตาม ถือว่าเป็นฮะรอม (สิ่งต้องห้าม) ดังนั้นในช่วงเวลาที่โรคติดต่อ อย่างเช่น ไวรัสโคโรนาจะเกิดการแพร่ระบาดด้วยสื่อของการเข้าสังคมตามปกติและเข้าร่วมในสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ อย่างเช่น มัสยิด ฮะรัม สุสาน งานเฉลิมฉลองและพิธีกรรมต่างๆ เพื่อที่สุขภาพและชีวิตของตัวเองและบุคคลอื่นๆ จะไม่ตกอยู่ในอันตราย การอิบาดะฮ์ที่เป็นมุสตะฮับในรูปของญะมาอัต (กระทำร่วมกัน) เหล่านี้จะเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ตามศาสนบัญญัติ  บนพื้นฐานดังกล่าวนี้เองที่บรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม (ฟุกอฮาอ์) และบรรดามัรเญียะอ์ตักลีดจึงออกคำฟัตวาห้ามการรวมตัวเหล่านี้จนกว่าอันตรายจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อจะหมดไป


เชิงอรรถ :

1.กฎของการไม่ก่ออันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น (قاعدة لا ضرر ولا ضرار)  เป็นหนึ่งในกฎทางนิติศาสตร์ (القواعد الفقهية) ซึ่งมีขอบข่ายในการใช้งานอย่างมากมายในนิติศาสตร์อิสลาม ที่มาของกฏนี้มีรากฐานมาจากวจนะ (ฮะดีษ) ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านกล่าวว่า :

لَا ضَرَرَ وَ لَا ضِرَارَ فَي الْإِسْلَامِ

 "ไม่มีการประทุษร้ายต่อตนเองและผู้อื่นในอิสลาม"

2.ตวามหมายของคำว่า "ตะฮ์ลุกะฮ์" (ความหายนะ) นั้นมีความครอบคลุมและรวมถึงการก่อให้เกิดอันตรายทุกรูปแบบ โดยที่ตัวอย่างสูงสุดของการก่ออันตรายนั้นคือ การนำตัวเองหรือผู้อื่นไปสู่ความตาย; ดูเพิ่มเติม จาก : หนังสือ "อัล ร่อซาอิล อัล ฟิกฮียะฮ์", อัลลามะฮ์มุฮัมมัดตะกี ญะอ์ฟะรี, หน้า 62


แปลและเรียบเรียง : มุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 988 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

9819544
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
24912
66939
295089
9045061
1671078
2060970
9819544

พฤ 25 เม.ย. 2024 :: 09:04:20