รายงานล่าสุดเปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นผู้จัดหาอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในอังกฤษให้กับกองกำลังก่อการร้ายที่เรียกว่ากองกำลังสนับสนุนเร็ว (RSF) ท่ามกลางสงครามกลางเมืองในซูดานที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายหมื่นคน และทำให้ผู้คนต้องไร้ที่อยู่อาศัยอีกประมาณ 12 ล้านคน
The Guardian หนังสือพิมพ์รายวันของอังกฤษรายงานเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ระบบระบุเป้าหมายและเครื่องยนต์สำหรับยานเกราะที่ผลิตในสหราชอาณาจักรถูกค้นพบในสนามรบในประเทศทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการส่งออกอาวุธของอังกฤษและบทบาทของลอนดอนในการยุยงให้เกิดความขัดแย้งนี้
รายงานดังกล่าวอ้างถึงเอกสาร 2 ฉบับ ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้เห็นแล้ว
เอกสารดังกล่าวซึ่งลงวันที่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 และมีนาคม พ.ศ. 2568 ได้รับการรวบรวมโดยกองทัพซูดาน ซึ่งระบุว่า เอกสารเหล่านี้เป็น "หลักฐานที่แสดงว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนับสนุนกองกำลังก่อการร้าย RSF"
เอกสารใหม่แสดงให้เห็นว่า ระบบการกำหนดเป้าหมายที่ผลิตโดยบริษัท Militec ซึ่งตั้งอยู่ในเวลส์ ถูกค้นพบที่ฐานทัพกองกำลังสนับสนุนเร็ว (RSF) ในกรุงคาร์ทูม เมืองหลวงของซูดาน และเมืองแฝดออมดูร์มัน
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า สหราชอาณาจักรได้อนุมัติใบอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ เช่น Militec เพื่อส่งออกระบบการฝึกอบรมไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015
ตามข้อมูลที่ระบุ รัฐบาลอังกฤษได้ออกใบอนุญาตใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 สามเดือนหลังจากที่มีหลักฐานบ่งชี้เป็นครั้งแรกว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกำลังถูกส่งไปยังซูดาน
เครื่องยนต์ที่กล่าวถึงในเอกสารฉบับนี้ผลิตขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถลำเลียงพลหุ้มเกราะที่ผลิตในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รถประเภทนี้ยังปรากฏให้เห็นในลิเบียและเยเมน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการห้ามส่งออกอาวุธของสหประชาชาติ
สหประชาชาติได้ออกคำเตือนอย่างรุนแรงต่อรายงานเรื่อง "ความโหดร้าย" ที่เกิดขึ้นจาก กองกำลังสนับสนุนเร็ว (RSF) และกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้บันทึกเหตุการณ์สังหารหมู่จำนวนมากที่เกิดขึ้นจากกลุ่มก่อการร้ายนี้ไว้
เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมากองกำลังสนับสนุนเร็ว (RSF) ได้เข้ายึดเมืองเอลฟาเชอร์ในภูมิภาคดาร์ฟูร์เหนือ กลุ่มบรรเทาทุกข์รายงานเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นั่น รวมถึงการสังหารหมู่ การจับกุม และการโจมตีโรงพยาบาล
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็น “การยกระดับความขัดแย้งที่เลวร้ายลง” และ “ระดับความทุกข์ทรมานที่เรากำลังเผชิญอยู่ในซูดานนั้นไม่อาจทนรับได้”
สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า มีรายงานว่า กลุ่มก่อการร้าย RSF ได้ก่อเหตุโหดร้ายในเมืองเอลฟาเชอร์ รวมถึงการ "สังหารพลเรือนที่พยายามหลบหนี" โดย "มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีแรงจูงใจทางชาติพันธุ์ในการก่อเหตุสังหาร"
โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “ความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดและการกระทำอันโหดร้ายในวงกว้างที่เกิดจากแรงจูงใจทางชาติพันธุ์ในเมืองเอลฟาเชอร์เพิ่มมากขึ้นทุกวัน”
ในปี ค.ศ. 2023 เกิดความขัดแย้งระหว่างกองทัพซูดานและ กองกำลังสนับสนุนเร็ว (RSF) ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน มีผู้พลัดถิ่นกว่า 12 ล้านคน และทำให้คณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (International Rescue Committee) เรียกเหตุการณ์นี้ว่า "วิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา"
กรุงคาร์ทูมกล่าวหาสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่า ให้การสนับสนุนกองกำลังสนับสนุนเร็ว (RSF) ในสิ่งที่เรียกว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวมาซาลิตที่ไม่ใช่ชาวอาหรับในภูมิภาคดาร์ฟูร์ของซูดาน
รัฐบาลซูดานเรียกร้องให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยุติการสนับสนุน RSF และให้ "การชดเชยเต็มจำนวน" รวมถึงการชดเชยให้กับเหยื่อสงคราม
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซูดานได้ดำเนินการทางกฎหมายกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เนื่องจากเป็นผู้สร้าง "แรงผลักดัน" เบื้องหลัง "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ที่กำลังดำเนินอยู่ในซูดาน
ที่มา : สำนักข่าวเพรสทีวี
Copyright © 2025 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่
