การปฏิวัติของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) การปูทางสู่รัฐบาลโลกของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตอนที่1
การปฏิวัติของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) การปูทางสู่รัฐบาลโลกของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตอนที่1

 ท่ามกลางคำรายงาน (ริวายะฮ์) ของอิสลามนั้น เราจะพบคำรายงานจำนวนหนึ่งที่อธิบายถึงสภาวะเงื่อนไขและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในยุคของการปรากฏตัว (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ในฮะดีษบทหนึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า ก่อนการปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) นั้น ประชาชาติมุสลิมในภูมิภาคตะวันออกกลางจะยืนหยัดขึ้นต่อสู้เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลของท่าน

    โดยที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลฮ์ (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

يخرج ناس من المشرق فيوطّئون للمهدى يعنى سلطانه

          “ประชาชนกลุ่มหนึ่งจากทิศตะวันออกจะยืนหยัดขึ้น โดยที่พวกเขาจะเตรียมพื้นฐานสำหรับมะฮ์ดี หมายถึงอำนาจการปกครองของเขา” (1)

    และหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านั้นที่ปรากฏให้เราเห็นแล้ว นั่นก็คือ การยืนหยัดขึ้นของบุรุษผู้หนึ่งจากเมืองกุม ซึ่งในช่วงของการใกล้การปรากฏตัว (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ) นั้น ท่านจะเรียกร้องเชิญชวนประชาชนไปสู่สัจธรรม ด้วยกับการสนับสนุนของพวกเขาและการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ท่านจะจัดตั้งขบวนการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยไม่มีศัตรูใดสามารถทำลายมันได้ (2)

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคำรายงานจากท่านอิมามมูซา กาซิม (อ.) ที่ได้กล่าวว่า :

رجل من قم يدعو الناس إلى الحق يجتمع معه قوم قلوبهم كزبر الحديد لا تزلهم الرياح و العواصف لا يملون من الحرب و لا يجبنون و على الله يتوكلون و العاقبة للمتقين.

          "บุรุษผู้หนึ่งจากเมืองกุม จะเรียกร้องเชิญชวนประชาชนไปสู่สัจธรรม ชนกลุ่มหนึ่งจะรวมตัวอยู่กับเขา หัวใจของพวกเขาประหนึ่งดังชิ้นส่วนของเหล็ก โดยที่ลมและพายุทั้งหลายจะไม่ทำให้พวกเขาพลั้งพลาด พวกเขาจะไม่เหนื่อยหน่ายจากสงคราม พวกเขาจะไม่หวาดหวั่น และพวกเขาจะมอบหมายต่อพระผู้เป็นเจ้า และผลสุดท้ายจะเป็นของมวลผู้ยำเกรง" (3)

    ดังที่ท่านทั้งหลายได้เห็นแล้วว่าท่านอิมามมูซา กาซิม (อ.) ได้บอกข่าวเกี่ยวกับการยืนหยัดขึ้นของบุรุษผู้หนึ่งจากเมืองกุม ซึ่งบุรุษผู้นี้จะเรียกร้องเชิญชวนประชาชนไปสู่สัจธรรม และจะมีประชาชนจำนวนหนึ่งรวมตัวขึ้นเคียงข้างเขา หัวใจของคนกลุ่มนี้จะมั่นคงแข็งแกร่งประดุจดังชิ้นส่วนของเหล็ก การเผชิญหน้ากับสิ่งเลวร้ายและความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่มาประสบก็ไม่อาจทำให้พวกเขาเหนื่อยหน่ายจากการยืนหยัดต่อสู้และหวาดกลัวใด ๆ และเป็นไปตามคำกล่าวของริวายะฮ์ (คำรายงาน) นี้ที่ว่า การพึ่งพิงและการมอบหมายต่อพระผู้เป็นเจ้าของประชาชนกลุ่มนี้ ที่เป็นสาเหตุทำให้การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขาดำเนินไปสู่บั้นปลายสุดท้ายที่ดีงามและไปถึงซึ่งชัยชนะ

    ตามการยืนยันของประวัติศาสตร์ บุรุษผู้มีเกียรติท่านนี้คือ ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และไม่มีใครที่คู่ควรเหมาะสมสำหรับคุณลักษณะเช่นนี้ได้นอกจากท่านเพียงเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้ใช้ชีวิตในการศึกษาและการสอนอยู่ในเมืองกุมเป็นเวลายาวนานหลายปี และหลังจากที่ท่านได้เห็นถึงการทรยศของมุฮัมมัด ริฎอชาห์ (กษัตริย์อิหร่าน) ท่านได้เรียกร้องเชิญชวนประชาชนมาสู่สัจธรรมความจริง และปลุกพวกเขาให้ลุกขึ้นต่อต้านและจัดการกับความอธรรมของยะซีดแห่งยุคสมัย

    จุดเริ่มต้นของการยืนหยัดต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นในปี 1342 สืบเนื่องมาจากการที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้กล่าวโจมตี มุฮัมมัด ริฎอชาห์ ด้วยคำพูดต่าง ๆ ที่รุนแรง เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ถูกจับกุมในวันที่ 15 เดือนโครด๊อด ปี 1342 ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้โดยตัวของมันเองได้กลายเป็นพื้นฐานไปสู่การลุกฮือและการนองเลือดของประชาชน ในวันที่ 15 เดือนโครด๊อด ปี 1342

    ประชาชนมุสลิมในอิหร่านได้รับความทุกข์ยากจากความอธรรมและการกดขี่ของเหล่ากษัตริย์ชาฮ์มาช้านาน จึงได้ตอบรับการเรียกร้องเชิญชวนไปสู่สัจธรรมของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และพวกเขาทำให้การยืนหยัดต่อสู้ของอิสลามและของประชาชนได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอิหร่าน

    การยืนหยัดต่อสู้ของประชาชนในวันที่ 15 เดือนโครด๊อด ปี 1342 นั้น แม้จะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและการนองเลือด และดูตามรูปการภายนอกแล้วจะไม่บังเกิดผล แต่ในช่วงเวลา 15 ปีต่อมาการยืนหยัดต่อสู้นี้ก็บรรลุผลในที่สุด ทำให้รัฐบาลของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านกลายเป็นของขวัญสำหรับประชาคมโลก รัฐบาลซึ่งตามริวายะฮ์ (คำรายงาน) นั้น จะเป็นส่วนหนึ่งจากปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการปรากฏตัว (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) อินชาอัลลอฮ์ (หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์)

    ประเด็นสำคัญที่สามารถเห็นได้จากริวายะฮ์ (คำรายงาน) บทนี้ก็คือ บรรดาผู้สนับสนุนและให้การช่วยเหลือบุรุษผู้มีเกียรติท่านนี้ หัวใจของพวกเขามีความแข็งแกร่งและมั่นคง พวกเขาจะไม่หวาดกลัวและจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ยากลำบาก ความไว้วางใจของผู้ช่วยเหลือเหล่านี้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้า และในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะ

    สิ่งที่น่าพิศวงก็คือ คำอธิบายเหล่านี้มีความสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับคุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้สนับสนุนและผู้ให้การช่วยเหลือของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นประหนึ่งดังชิ้นสวนต่าง ๆ ของเหล็กอันแข็งแกร่ง ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่การถูกสังหารและการเป็นชะฮีด ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองตลอดระยะเวลา 15 ปี พวกเขาได้ยืนหยัดต่อสู้กับระบอบการปกครองที่กดขี่ของกษัตริย์ชาฮ์ด้วยความกล้าหาญ เป็นไปตามริวายะฮ์ (คำรายงาน) ข้างต้น ผลสุดท้ายของการยืนหยัดต่อสู้ของผู้ช่วยเหลือของบุรุษผู้นี้ คือชัยชนะในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของพวกเขา พวกเขาได้วางรากฐานการปกครองของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านขึ้น

    ตลอดประวัติศาสตร์จวบจนถึงขณะนี้ ยังไม่เคยพบว่ามีบุรุษที่ยิ่งใหญ่และเป็นนักวิชาการศาสนาอย่างเช่นท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ที่ยืนหยัดต่อสู้ขึ้นในเมืองนี้ และให้การอบรมขัดเกลาบรรดาผู้ช่วยเหลือที่มีความเด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่สามารถยืนหยัดเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันหนักหน่วงแห่งยุคสมัยได้ ในที่สุดด้วยกับการช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้ทำให้การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขาบรรลุสู่ชัยชนะ แน่นอนในหน้าประวัติศาสตร์เรายังไม่เคยพบเห็นบุคคลเช่นนี้ที่สามารถทำให้การยืนหยัดต่อสู้นี้ได้เกิดขึ้นในเมืองกุม และหลังจากนี้เราก็คงไม่อาจที่จะคาดหวังสิ่งดังกล่าวนี้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากในขณะนี้รัฐบาลของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่ทำหน้าที่เตรียมพร้อมพื้นฐานการปรากฏตัว (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว จึงไม่มีปัจจัยที่จะนำไปสู่การยืนหยัดต่อสู้เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในเมืองกุม เหตุเพราะว่ารัฐบาลอิสลามของอิหร่านเป็นรัฐบาลที่นักวิชาการศาสนาและบรรดามัรเญี๊ยะอ์ตักลีดผู้ยิ่งใหญ่จะไม่คัดค้านต่อต้านมัน    

    และในฮะดีษ (วจนะ) อีกบทหนึ่ง ท่านอัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี ได้อ้างรายงานจากท่านอิมามบากิร (อ.) ซึ่งท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :

ان عن يمين الله عزوجل ـ او عن يمين العرش ـ قوما منا على منابر من نور وجوههم من نور, وثيابهم من نور, تغشى وجوههم إبصار الناظرين دونهم, قال إبوبكر: من هم يا رسول الله؟ فسكت, فقال الزبير: من هم يا رسول الله؟ فسكت, فقال عبدالرحمن:من هم يا رسول الله؟ فسكت, فقال على عليه السلام من هم يا رسول الله؟ فقال: هم قوم تحابوا بروح الله على غير انساب و لا اموال اولئك شيعتك و انت امامهم يا على

          “แท้จริงทางด้านขวาของอัลลอฮ์ผู้ทรงเกริกเกียรติ ผู้ทรงเกรียงไกร หรือทางด้านขวาของอะรัช (บัลลังก์) จะมีชนกลุ่มหนึ่งจากเรานั่งอยู่บนมิมบัร (ธรรมมาส) ต่าง ๆ จากนูร (รัศมี) ใบหน้าของพวกเขาก็เป็นนูร (รัศมี) และเสื้อผ้าของพวกเขาก็เป็นนูร (รัศมี) ใบหน้าของพวกเขาจะทะลุทะลวงสายตาของผู้มองคนอื่น ๆ จากพวกเขา”

    อบูบักรได้กล่าวขึ้นว่า “โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์พวกเขาเป็นใครกันหรือ?” ท่านศาสนทูตนิ่งเงียบ ดังนั้นซุบัยร์จึงกล่าวขึ้นว่า “โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ พวกเขาเป็นใครกันหรือ?” ท่านก็ยังคงนิ่งเงียบ อับดุรเราะฮ์มานก็ได้กล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์พวกเขาเป็นใครกันหรือ?” ท่านก็ยังคงนิ่งเงียบ ดังนั้นท่านอะลี (อ.) จึงกล่าวว่า “โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์พวกเขาเป็นใครกันหรือ?” ท่านกล่าวตอบว่า “พวกเขาคือกลุ่มชนที่ต่างมีความรักใคร่ต่อกันด้วยสื่อของรูฮุลลอฮ์ โดยมิได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทางเชื้อสาย และมิได้มีส่วนร่วมใด ๆ ทางทรัพย์สิน โอ้อะลีเอ๋ย! พวกเขาเหล่านั้นคือชีอะฮ์ของเจ้า และเจ้าคืออิมามของพวกเขา” (4)

    คำรายงาน (ฮะดีษ) อีกบทหนึ่งจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มที่มีความน่าเชื่อถือ (มุอ์ตะบัร) ของชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ได้อ้างรายงานคำพูดมาจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านได้อ่านโองการนี้คือ

و ان تتولوا يستبدل قوما غيركم ثم لا يكونوا امثالكم

          “และหากพวกเจ้าหันหลังออก (จากศาสนา) พระองค์จะทรงเปลี่ยนชนกลุ่มอื่นจากพวกเจ้า แล้วพวกเขาจะไม่เป็นเหมือนพวกเจ้า”

(บทอัลกุรอานมุฮัมมัด โองการที่ 38)

    ผู้ที่อยู่ต่อหน้าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้ถามขึ้นว่า :

يا رسول الله من هولاء الذين ان تولينا استبدلوا بنا؟

          “โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์! พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งหากพวกเราหันหลังออก (จากศาสนา) แล้วพวกเขาจะมาแทนที่พวกเรานั้นคือใคร?”

فضرب رسول الله على منكب سلمان, ثم قال: هذا و قومه والذى نفسى بيده لوكان الايمان منوطا بالثريا لتناوله رجال من فارس

    ดังนั้นท่านศานทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) จึงได้ตบไปที่ไหล่ของซัลมาล ต่อจากนั้นท่านกล่าวว่า “คือบุรุษผู้นี้และกลุ่มชนของเขา ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ มาตรว่าศาสนาถูกแขวนอยู่ที่ดาวลูกไก่ แน่นอนยิ่งเหล่าบุรุษจากเปอร์เซียจะไขว่คว้าเอามันมาได้” (5)

    จากคำพูดของบรรดานักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ร่วมสมัย ได้วิเคราะห์และอธิบายถึงช่วงเวลาที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ อย่างเช่นท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ผู้วางรากฐานการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน และท่านอิมามอะลีคอเมเนอีผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่และน่าพิศวงในทุก ๆ ด้านของภูมิภาคและของโลก ที่เริ่มต้นขึ้นจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ที่กำลังจะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) และเรากำลังอยู่ในยุคใกล้การปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.)

    ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้กล่าวว่า "การปฏิวัติอิสลาม คือจุดเริ่มต้นการปฏิวัติโลกของท่านบะกียะตุลลอฮ์ (อิมามมะฮ์ดี (อ.))" (6)

    ท่านอิมามคอเมเนอี "การบรรลุความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์ของสัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า หมายถึงชัยชนะของสัจธรรมเหนือความเท็จ เป็นการสร้างประชาชาติแห่งอัลกุรอานและอารยะธรรมใหม่แห่งอิสลามที่ได้เกิดขึ้นแล้ว..."

    "เราจะถูกนับว่าเป็นผู้รอคอยที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเรามีการเตรียมพร้อมพื้นฐานเพื่อการมาปรากฏตัว (ซุฮูร) ของท่านมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญา (อัรวาฮุนาละฮุลฟิดาอ์) ความจำเป็นในการเตรียมพร้อมนั้นได้แก่ การปฏิบัติตามบทบัญญัติและอำนาจการปกครองของอัลกุรอานและอิสลาม ก้าวแรกสำหรับอำนาจการปกครองของอิสลามและการเข้าใกล้ของประชาชาติมุสลิมในยุคแห่งการปรากฏตัว (ซุฮูร) ของท่านมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญา (อัรวาฮุนาละฮุลฟิดาอ์วะอัจญะลัลลอฮุฟะร่อญะฮ์) นั้นได้ย่างก้าวไปแล้วโดยประชาชาติอิหร่าน และนั่นก็คือการสร้างอำนาจการปกครองแห่งอัลกุรอาน"

    ท่านอายะตุลลอฮ์ ฮาซันซอเดฮ์ออมูลี "กรณีแวดล้อมและพยานหลักฐานต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า การปฏิวัติอิสลามและระบอบอันศักดิ์สิทธิ์ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านคือ "ซุฮูรซุฆรอ" (การปรากฏกายเล็ก) ของท่านบะกียะตุลลอฮ์ อัลอะซ็อม (อิมามมะฮ์ดี-อ.)" เป็นช่วงเวลาระหว่างสองรุ่งอรุณของรัฐบาลโลกของท่านอิมามซะมาน (ดวงวิญาณของเราขอพลีเพื่อท่าน)"

(คลิกอ่านต่อตอนที่ 2)


แหล่งอ้างอิง :

(1) ซุนัน อิบนุมายะฮ์ เล่มที่ 2 หน้าที่ 1368 ฮะดีษที่ 4088 ; อัลฮาวี ลิลฟะตาวา, ญะลาลุดดีน อัซซุยูฏี, เล่มที่ 2 หน้าที่ 60 ; บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 51 หน้าที่ 87

(2) หนังสือ “อัศรุซซุฮูร” เขียนโดย อะลี กูรอนี อัลอามิลี, แปลเป็นฟาริซีโดย มะฮ์ดี ฮักกี, สำนักพิมพ์อะมีร กะบีร, ตีพิมพ์ครั้งที่สี่, ปี 1385, หน้า 222 และ 223

(3) หนังสือ “อัศรุซซุฮูร” เขียนโดย อะลี กูรอนี อัลอามิลี, แปลเป็นฟาริซีโดย มะฮ์ดี ฮักกี, สำนักพิมพ์อะมีร กะบีร, ตีพิมพ์ครั้งที่สี่, ปี 1385, หน้า 222

(4) บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่มที่ 65 หน้าที่ 139, สำนักพิมพ์ มุอัซซะซะฮ์ อัลวะฟาอ์, เบรุต

(5) หนังสือ “ตัฟซีรอัลมีซาน” เล่มที่ 18 หน้า 250, อ้างจาก หนังสือ “ตัฟซีร อัดดุรรุลมันซูร”

(6) ซอฮีเฟเย่ นูร, เล่มที่ 21 หน้าที่ 108


บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 110 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

26179127
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
173
6627
31833
26084607
31833
177228
26179127

ส 07 มิ.ย. 2025 :: 01:37:25