ความประเสริฐของท่านอิมามฮูเซน บินอะลี (อ.) ตอนที่ 1 วาทะของท่านฮูเซน อิบนิอะลี (อ.) ต่อผู้ครองนครมะดีนะฮ์
ความประเสริฐของท่านอิมามฮูเซน บินอะลี (อ.) ตอนที่ 1 วาทะของท่านฮูเซน อิบนิอะลี (อ.) ต่อผู้ครองนครมะดีนะฮ์

ความประเสริฐของท่านอิมามฮูเซน บินอะลี (อ.) ตอนที่ 1

วาทะของท่านฮูเซน อิบนิอะลี (อ.) ต่อผู้ครองนครมะดีนะฮ์

     ก่อนที่จะเข้าสู่คำอรรถาธิบายสุนทรพจน์ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) มีสิ่งหนึ่งที่เราควรตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือต่างๆ ที่มีผู้เขียนขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวการดำเนินชีวิตและการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮูเซน (อ.) หรือกล่าวถึงบุคลิกภาพอันยิ่งใหญ่ของท่าน มักจะเริ่มต้นด้วยเรื่องราวของความประเสริฐ สภาวะทางจิตใจ สถานภาพทางศาสนาและสถานภาพทางสังคมของท่าน และมักจะมีฮะดีษและรายงานต่างๆ ซึ่งกล่าวถึงคุณลักษณะและความสำคัญของท่านมาประกอบ

    สำหรับหนังสือเล่มนี้จะแตกต่างจากหนังสือที่ได้กล่าวมา โดยจะเปิดประเด็นเข้าสู่เนื้อหาหลักและสุนทรพจน์ต่างๆ ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ตั้งแต่แรก ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเปิดเล่มด้วยสุนทรพจน์บทหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงความประเสริฐอันชัดแจ้งที่สุดของท่านที่ว่า “แท้จริงเราคือครอบครัวแห่งศาสดา และเป็นแหล่งกำเนิดของสาส์นแห่งพระผู้เป็นเจ้า…”

    และปิดท้ายด้วยคำกล่าวของท่านดังนี้ “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือผู้ทรงมีฐานะอันสูงส่ง ทรงมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่…”

    นับว่าเป็นดุอาอ์ที่มีความซาบซึ้งที่สุดบทหนึ่งของท่าน และยิ่งไปกว่านั้น แต่ละหน้าของหนังสือเล่มนี้จะปรากฏสุนทรพจน์ต่างๆ ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) สำหรับผู้ที่มีหัวใจผูกพันต่อท่าน หนังสือเล่มนี้ก็คือสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งเกี่ยวกับความประเสริฐของท่าน หากเราจะเรียกชื่อหนังสือเล่มนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ความประเสริฐของฮูเซน อิบนิอะลี (อ.)” แทนชื่อ “สุนทรพจน์ของฮูเซน อิบนิอะลี” ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด

วาทะของท่านฮูเซน อิบนิอะลี (อ.) ต่อผู้ครองนครมะดีนะฮ์

     หลังจากที่มุอาวียะฮ์จบชีวิตลงในกลางเดือนเราะญับของปีฮิจญเราะฮ์ศักราชที่ 60 ยะซีดผู้เป็นบุตรชายก็ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ปกครองแทน และโดยไม่รอช้าเขาก็เริ่มเขียนจดหมายส่งไปยังบรรดาผู้ปกครองนครและหัวเมืองต่างๆ เพื่อแจ้งข่าวการตายของมุอาวียะฮ์และการขึ้นสู่ตำแหน่งการเป็นผู้ปกครองสืบต่อของตน ที่ได้รับการแนะนำและรับสัตยาบันจากประชาชนไว้แล้วตั้งแต่ยุคของบิดาของเขา (1) นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ผู้ปกครองเหล่านั้นดำรงตำแหน่งต่อไปอย่างเดิม

    ยะซีดสั่งให้ผู้ปกครองเหล่านี้ติดตามให้ประชาชนให้สัตยาบันกับเขาอีกครั้งหนึ่ง จดหมายที่มีเนื้อหาดังกล่าวก็ได้มาถึงวะลีด บินอุตบะฮ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ครองนครมะดีนะฮ์ตั้งแต่สมัยมุอาวียะฮ์เช่นกัน พร้อมกันนั้นก็มีจดหมายสั้นๆ อีกหนึ่งฉบับแนบมาด้วย ในจดหมายนั้นเน้นย้ำให้วะลีด บินอุตบะฮ์ เรียกร้องสัตยาบันจากบุคคลสำคัญๆ อีก 3 คน ที่ยังไม่พร้อมจะให้สัตยาบันแก่ยะซีดในสมัยของมุอาวียะฮ์ จดหมายนั้นมีความว่า

      “จงทวงสัตยาบันจากฮูเซน อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร และอับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์ อย่างเด็ดขาดและไม่มีข้อผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าพวกเขาจะให้สัตยาบัน”

    ในคืนแรกที่จดหมายมาถึง วะลีด บินอุตบะฮ์ ได้เรียกตัวมัรวาน บินฮะกัม อดีตผู้ปกครองนครมะดีนะฮ์ในยุคของมุอาวียะฮ์มาเพื่อปรึกษาหารือ มัรวานเสนอว่าให้เชิญบุคคลทั้งสามมาพบโดยด่วน และให้สัตยาบันแก่ยะซีดก่อนที่ข่าวการตายของมุอาวียะฮ์จะแพร่กระจายไปยังผู้คนในเมือง วะลีดจึงรีบส่งม้าเร็วไปเชิญตัวบุคคลทั้งสามมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ถือว่าสำคัญขั้นคอขาดบาดตายสำหรับเขา ม้าเร็วได้มอบสาส์นแก่ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ขณะที่ท่านกำลังสนทนาอยู่กับอิบนิซุบัยร์ ในมัสยิดของท่านรอซูลุลลอฮ์ (ซ็อลฯ)

    อิบนิซุบัยร์ รู้สึกหวาดหวั่นต่อการเชิญโดยกะทันหันในยามวิกาลนี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนท่านอิมามฮูเซน (อ.) นั้น ก่อนที่ท่านจะไปพบวะลีด ท่านได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้แก่อิบนิซุบัยร์ว่า “ฉันคิดว่าผู้ละเมิดแห่งบนีอุมัยยะฮ์ (หมายถึงมุอาวียะฮ์ บุตรของอบูซุฟยาน) ได้ถึงแก่ความตายแล้ว และเป้าหมายของการเชิญตัวเข้าพบในครั้งนี้ ก็คงมิใช่เพื่ออื่นใด นอกจากเป็นการเรียกร้องสัตยาบันให้แก่ลูกชายของเขา”

    ตามรายงานของหนังสือ “มุซีรุล อะฮ์ซาน” ท่านอิมามฮูเซน (อ.) กล่าวเสริมอีกว่า “เพราะฉันได้ฝันเห็นเปลวเพลิงลุกโชนที่บ้านของมุอาวียะฮ์ และบัลลังก์ของเขาได้พังพินาศลง”

    ขณะเดียวกันท่านอิมามฮูเซน (อ.) สั่งให้สาวกและเครือญาติใกล้ชิดที่สุดของท่าน 30 คน ให้เตรียมอาวุธและร่วมเดินทางไปกับท่าน และเตรียมพร้อมอยู่นอกที่ประชุม เพื่อปกป้องท่านหากมีเหตุจำเป็น แล้วเหตุการณ์ก็เป็นจริงดังที่ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้คาดการณ์ไว้ หลังจากวะลีดแจ้งข่าวการตายของมุอาวียะฮ์แล้ว เขาก็พูดถึงการให้สัตยาบันต่อยะซีด

    ท่านอิมามฮูเซน (อ.) กล่าวตอบไปว่า “สถานภาพอย่างฉันนั้น ไม่เหมาะสมที่จะให้สัตยาบันแก่ใครอย่างลับๆ และท่านก็เช่นกัน ไม่ควรพึงใจต่อการให้สัตยาบันเช่นนั้น ในเมื่อท่านจะเชิญชวนประชาชนชาวมะดีนะฮ์ทั้งหมดมาให้สัตยาบันต่อยาซีดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เราก็ควรจะอยู่ในที่ชุมนุมนั้น และให้สัตยาบันพร้อมกับมุสลิมทั้งมวล นั่นหมายความว่าการให้สัตยาบันนี้มิใช่เป็นไปเพื่อความพึงพอพระทัยของอัลลอฮ์ แต่ทว่าเป็นไปเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน จะต้องเป็นไปอย่างเปิดเผยมิใช่ทำกันลับๆ”

   วะลีดยอมรับข้อเสนอของท่านอิมามฮูเซน (อ.) เขาจึงมิได้ยืนยันที่จะเรียกร้องสัตยาบันจากท่านอิมามฮูเซน (อ.) ในคืนนั้น

    เมื่อท่านอิมามฮูเซน (อ.) กำลังจะออกจากที่ประชุมนั้น มัรวาน บินฮะกัม ซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วย ได้ส่งสัญญาณกับวะลีดด้วยความหมายว่า หากเจ้าไม่สามารถเรียกร้องสัตยาบันจากฮูเซนในคืนนี้ ในที่ประชุมอันรโหฐานนี้ได้แล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถบังคับให้เขามาให้สัตยาบันได้อีกเลย ดังนั้นจะมีอะไรดีไปกว่าที่จะทำให้เขาอยู่ในที่ประชุมนี้ต่อไปอีก เพื่อจะได้ให้สัตยาบันหรือไม่ก็จงตัดคอเขาเสียตามคำสั่งของยะซีด

    เมื่อท่านอิมามฮูเซน (อ.) เห็นพฤติกรรมของมัรวาน ท่านจึงกล่าวว่า “โอ้บุตรของซัรกออ์ (2) เจ้าหรือว่าวะลีดกันแน่ที่จะสังหารฉัน เจ้ากำลังกล่าวเท็จและกำลังจะทำบาป”

    แล้วท่านหันไปทางวะลีดแล้วกล่าวว่า “โอ้ อมีร แท้จริงเราคือครอบครัวแห่งท่านศาสดา และเป็นแหล่งกำเนิดของสาส์นแห่งพระผู้เป็นเจ้า ครอบครัวของเราคือสถานที่ไปมาหาสู่ของบรรดามลาอิกะฮ์ และเป็นสถานที่ลงมาของความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงให้อิสลามเริ่มต้นจากครอบครัวของเรา และด้วยครอบครัวของเราเช่นกันที่พระองค์ทรงทำให้อิสลามดำเนินไปสู่จุดหมาย ส่วนยาซีดคนที่เจ้าหวังจะให้ฉันให้สัตยาบันต่อเขานั้น คือผู้ที่เสพสุรา ผู้ที่ฆ่าสังหารชีวิตอันบริสุทธิ์ เขาคือผู้ทำลายบทบัญญัติต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ละเมิดและก่อการบาปอย่างเปิดเผยต่อหน้าประชาขน สมควรแล้วหรือทีสถานภาพอย่างฉันจะให้สัตยาบันต่อบุคคลที่ก่อการละเมิดและอธรรมเยี่ยงยาซีด และในสภาพการเช่นนี้เราจงดูกันต่อไปเถิด และจะได้ประจักษ์ว่า ใครคือบุคคลที่สมควรและเหมาะสมยิ่งต่อตำแหน่งแห่งการเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้นำของประชาชน และใครคือผู้ที่เหมาะสมยิ่งต่อการให้สัตยาบันของประชาชน”

   ด้วยเสียงอึกทึกในที่ประชุมของวะลีด พร้อมกับวาทะอันแข็งกร้าวของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ที่มีต่อมัรวาน ทำให้ผู้ติดตามของท่านตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับท่านอิมามฮูเซน (อ.) พวกเขาจึงกรูกันมายังท่าน ดังนั้นความหวังของวะลีดที่จะได้รับสัตยาบันจากท่านอิมามฮูเซน (อ.) และการยอมรับข้อเสนอต่างๆ ของท่านจึงหมดสิ้นไป ท่านอิมามฮูเซน (อ.) จึงออกจากที่ประชุมนั้นไป


บทสรุป

จากสุนทรพจน์ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ข้างต้น ให้แง่คิดต่างๆ แก่เราดังนี้

    การสนทนากันในครั้งนี้ ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้อธิบายให้เห็นจุดยืนของท่านอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้สัตยาบันแก่ลูกของมุอาวียะฮ์ รวมทั้งการยอมรับการปกครองอย่างเป็นทางการของเขา นอกจากท่านจะพรรณนาคุณลักษณะของครอบครัวของท่าน สถานภาพของท่าน ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเหมาะสมของท่านในการเป็นผู้นำและเป็นผู้ปกครองของประชาชาติแล้ว ท่านยังได้ชี้ให้เห็นข้อเสียของยะซีดซึ่งเป็นข้อบ่งบอกถึงความน่าตำหนิในการกล่าวอ้างตัวเป็นผู้นำ และแสดงให้เห็นความไม่เหมาะสมของเขาในการแอบอ้างดังกล่าวด้วย

    ในการสนทนาครั้งนี้ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ชี้ให้เห็นสาเหตุแห่งการยืนหยัด และชี้ให้เห็นแนวทางแห่งอนาคตของท่านเองอย่างชัดเจน ท่านแสดงให้รู้ถึงการตัดสินใจของท่านก่อนที่จะได้รับจดหมายเชิญจากชาวกูฟะฮ์ ก่อนที่พวกเขาจะให้สัตยาบันต่อท่านเสียอีก เพราะคำสั่งของยาซีดที่ให้เรียกร้องสัตยาบันจากท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้ไปถึงวะลีดก่อนที่ข่าวการตายของมุอาวียะฮ์จะล่วงรู้ถึงประชาชน หรือไม่ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกัน แต่การเชื้อเชิญจากชาวกูฟะฮ์นั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้เปิดฉากต่อต้านอย่างกล้าหาญ โดยคัดค้านการให้สัตยาบันต่อยะซีด และการเคลื่อนขบวนมุ่งสู่นครมักกะฮ์ รายละเอียดของเรื่องนี้จะชี้แจงให้ชัดเจนในภายหลัง

    กล่าวโดยสรุป แม้ว่าจะมีสาเหตุหลายประการที่นำไปสู่การยืนหยัดเพื่อต่อสู้ของท่านอิมามฮูเซน (อ.) จนกระทั่งถึงการเป็นชะฮีดของท่าน แต่สาเหตุหลักแห่งการยืนหยัดของท่านก็คือ การโค่นล้มอำนาจหนึ่งซึ่งไม่เพียงแต่ปราศจากความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ชี้ชะตากรรมของประชาชาติมุสลิมเท่านั้น ผลพวงของความไม่เหมาะสมนั้นยังทำให้ความอธรรมและความชั่วร้ายได้แพร่กระจายออกไป อีกทั้งยังฉุดประชาชาติอิสลามให้ตกต่ำและหลงทางอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลเหล่านี้ยังปรารถนาที่จะกำจัดขวากหนามและอุปสรรคของครอบครัวแห่งอบูซุฟยาน ในการต่อสู้กับอำนาจแห่งอิสลามและอัลกุรอานให้หมดสิ้นไป ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพ่ายแพ้มาแล้ว ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จึงได้สวมอาภรณ์ของผู้ปกครองแห่งอิสลามเพื่อทำให้แผนการของตนบรรลุผล สำหรับการโค่นล้มอำนาจของยะซีดนั้น บางครั้งถูกอรรถาธิบายไว้ในวจนะของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ว่าเป็น “การกำชับในคุณธรรมความดีและการห้ามปรามความชั่ว”

    ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ไม่เพียงแต่จะชี้แจงถึงจุดยืนดังกล่าวของท่านในที่ประชุมของวะลีดเท่านั้น แต่ท่านยังได้ตอกย้ำถึงจุดยืนดังกล่าวนี้อีกอย่างชัดเจนเป็นครั้งที่สองโดยไม่ปิดบังใดๆ เมื่อท่านได้เผชิญหน้ากับมัรวาน บินฮะกัม ศัตรูดั้งเดิมของครอบครัวแห่งท่านศาสนทูต และเป็นอดีตผู้ปกครองนครมะดีนะฮ์ในยุคสมัยของมุอาวียะฮ์ อีกทั้งเป็นผู้รับใช้เก่าแก่ของตระกูลอะมาวีย์


เชิงอรรถ :

(1) กรณีการให้สัตยาบันแก่ยะซีดที่มุอาวียะฮ์จัดขึ้น ถือเป็นหนึ่งในอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อิสลาม มีอธิบายไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ “อัล ฆอดีร” เล่มที่ 10

(2) ซัรกออ์ เป็นยายของมัรวาน ซึ่งเป็นหญิงชั่วและเป็นหญิงโสเภณีในยุคของนาง


ที่มา : หนังสือสุนทรพจน์ ฮูเซน บินอะลี (อ.)

แปลและเรียบเรียงโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 144 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

26252366
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
3727
7990
29233
26182758
105072
177228
26252366

พฤ 19 มิ.ย. 2025 :: 07:45:56