ความประเสริฐของท่านอิมามฮูเซน บินอะลี (อ.) ตอนที่ 7 คำตอบที่มีต่อ “อับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์”
ความประเสริฐของท่านอิมามฮูเซน บินอะลี (อ.) ตอนที่ 7 คำตอบที่มีต่อ “อับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์”

คำตอบของท่านอิมาม (อ.) ต่อ “อับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์”

    อีกผู้หนึ่งที่ได้เสนอแนะให้ท่านอิมามฮูเซน (อ.) เลิกล้มความตั้งใจในการเดินทางสู่แผ่นดินอิรัก คืออับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์ ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านรัฐบาลยาซีด ความจริงแล้วเขาก็คือนักต่อสู้คนหนึ่ง และเหตุนี้ทำให้เขาต้องหนีออกจากมะดีนะฮ์ไปยังมักกะฮ์ เมื่อท่านอิมามเข้าสู่มักกะฮ์แล้วเขาก็ไปมาหาสู่ยังที่พักของท่านอิมามทุกวัน หรือไม่ก็หาเวลาหนึ่งไปเหมือนกับบรรดามุสลิมคนอื่นและร่วมสนทนากับท่าน เมื่อเขาได้ทราบข่าวที่แน่ชัดถึงการตัดสินใจของท่านอิมาม (อ.) ที่จะเดินทางสู่แผ่นดินอิรัก เขาได้มาพบท่านอิมาม (อ.) โดยเสนอแนะให้ท่านเลิกล้มความตั้งใจในการเดินทางครั้งนี้เสีย

   และตามรายงานของ บะลาดุรีย์ และฏ็อบรีย์ คำพูดของอับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์ เป็นคำพูดสองแง่สองมุม เพราะเขาได้กล่าวว่า “โอ้ บุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ หากแม้นว่าข้าพเจ้ามีพรรคพวกอยู่ในแผ่นดินอิรักเหมือนกับบรรดาชีอะฮ์ของท่านแล้ว ข้าพเจ้าก็จะเลือกไปยังสถานที่แห่งนั้นก่อนสถานที่อื่นเช่นเดียวกัน”

   เพื่อไม่ให้เกิดความคลุมเครือ อับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์ ได้พูดเสริมคำพูดของตนต่อไปว่า “แต่ทว่าในสภาพการณ์เช่นนี้ หากท่านเลือกที่จะดำรงอยู่ต่อไปในมักกะฮ์และยังคงปรารถนาที่จะดำรงความเป็นอิมามและเป็นผู้นำในเมืองนี้ต่อไปแล้ว เราก็พร้อมที่จะให้สัตยาบันต่อท่าน และตราบเท่าที่ยังคงเป็นไปได้ เราจะไม่หยุดยั้งการสนับสนุนและการเป็นผู้ร่วมคิดกับท่าน”

    ท่านอิมาม (อ.) ได้ตอบเขาไปว่า “บิดาของฉันได้บอกข่าวแก่ฉันว่า แท้จริงจะมีแกะตัวหนึ่งอยู่ในแผ่นดินมักกะฮ์ ซึ่งแกะตัวนี้จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของมักกะฮ์ถูกทำลายลง ดังนั้นฉันไม่ปรารถนาที่จะเป็นแกะตัวนั้น (ซึ่งจะถูกเชือดในแผ่นดินมักกะฮ์) และหากฉันจะต้องถูกสังหารนอกเขตมักกะฮ์แม้เพียงคืบหนึ่ง ก็ยังเป็นที่ปรารถนาสำหรับฉันยิ่งกว่าการที่ฉันจะถูกสังหาร ณ แผ่นดินนี้ และหากฉันจะต้องถูกสังหารนอกเขตมักกะฮ์ออกไปถึงสองคืบ ก็จะเป็นที่ปรารถนาสำหรับฉันยิ่งไปกว่าการถูกสังหารห่างออกไปจากมันเพียงคืบเดียว”

    ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวเสริมคำพูดของท่านต่อไปว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) แม้ว่าฉันจะหลบหนีเข้าไปอยู่ในรูของสัตว์ก็ตาม พวกเขาก็จะนำตัวฉันออกมาเพื่อสังหารให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ว่า พวกเขาจะต้องล่วงเกินฉันอย่างแน่นอน เหมือนกับที่บรรดาพวกยะฮูดีได้ล่วงละเมิดและทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของวันเสาร์ (อันเป็นวันสำคัญทางศาสนาของพวกเขา)”

     หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า “โอ้ บุตรของซุบัยร์ หากฉันจะถูกฝังลง ณ ชายฝั่งฟุรอต (ยูเฟรติส) แล้ว มันจะเป็นที่ปรารถนาสำหรับฉันยิ่งกว่าการที่จะถูกฝังลง ณ ลานแห่งกะบะฮ์นี้”

    อิบนิ เกาลูยะฮ์ ได้รายงานว่า ภายหลังจากที่อับดุลลอฮ์ อิบนิซุบัยร์ ออกไปจากวงสนทนา ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวขึ้นว่า “แท้จริงชายผู้นั้นกำลังจะบอกกับฉันว่า ท่านจงเป็นหนึ่งจากนกพิราบทั้งหลายที่ใช้ฮะรอมเป็นที่พักพิงเถิด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ว่า หากฉันจะต้องถูกสังหารในสถานที่ที่ห่างไกลออกไปจากฮะรอมนี้เพียงหนึ่งศอก ย่อมเป็นที่ปรารถนาสำหรับฉันยิ่งกว่าการที่ฉันจะถูกสังหารโดยห่างจากมันเพียงคืบเดียว และหากว่าฉันจะถูกสังหาร ณ แผ่นดินฏ็อฟ (กัรบะลาอ์) มันย่อมจะเป็นที่ปรารถนาสำหรับฉันยิ่งกว่าการที่ฉันจะถูกสังหาร ณ ฮะรอมแห่งนี้”

    รายงานจากฏ็อบรีย์และอิบนิอะซีร หลังจากที่อิบนิซุบัยร์ออกไปแล้ว ท่านอิมาม (อ.) กล่าวแก่สาวกของท่านว่า “แท้จริงบุคคลผู้นี้ (แม้ว่าเขาจะแสดงความปรารถนาที่จะให้ฉันอยู่ต่อไปในมักกะฮ์ แต่ความเป็นจริงแล้ว) ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะเป็นที่รักยิ่งสำหรับเขามากไปกว่าการที่ฉันจะออกไปให้พ้นจากแผ่นดินฮิญาซ เพราะเขารู้ดีว่าแท้จริงแล้วประชาชนจะไม่ให้ความสำคัญแก่เขาเท่าเทียมกับฉัน เขาปรารถนาที่จะให้ฉันออกไปเพื่อที่จะได้เป็นการเปิดทางให้กับตนเอง” (1)

บทสรุป

    แม้ว่าท่านอิมาม (อ.) จะมิได้กล่าวพาดพิงถึงอดีตของอิบนิซุบัยร์ และจุดยืนของเขาในการต่อต้านการปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) และมิได้กล่าวถึงสงครามแห่งเมืองบัศเราะฮ์ ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อโค่นล้มและกำจัดรัฐบุรุษเยี่ยงท่านอมีรุลมุอ์มีนีน (อ.) โดยตรง ในสงครามนี้อิบนิซุบัยร์เป็นแกนนำคนสำคัญและเป็นเสาหลักของแผนการนี้ อย่างไรก็ตาม ท่านได้แสดงให้เห็นเส้นทางเดินแห่งอนาคตของท่านและของอิบนิซุบัยร์ให้เราได้รับรู้จากคำพูดของท่าน

   ในเรื่องของจุดยืนของท่านนั้นท่านได้กล่าวว่า “ไม่ว่าฉันจะอยู่ในมักกะฮ์หรือจะอยู่ในสถานที่ใด หรือแม้ฉันจะหลบเข้าไปอยู่ในรูของสัตว์ก็ตาม คนของรัฐบาลนี้ก็จะไม่วางมือจากฉัน และความขัดแย้งของฉันที่มีต่อรัฐบาลนี้ก็ไม่สามารถที่จะประนีประนอมได้ เพราะสิ่งที่พวกเขาปรารถนาจากฉันนั้น ฉันไม่สามารถจะอดทนแบกรับมันได้ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ฉันต้องการจากพวกเขาก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีความพร้อมที่จะยอมรับได้เช่นกัน”

   การที่ท่านอิมาม (อ.) กล่าวอ้างถึง “ชายฝั่งแม่น้ำฟุรอต” (ยูเฟรติส) และชื่อหนึ่งของแผ่นดินกัรบะลาอ์ สะท้อนให้เห็นสิ่งต่างๆ อีกหลายประการ

   ท่านยังได้เตือนสติอิบนิซุบัยร์อีกว่า “บิดาของฉันได้กล่าวว่า ด้วยสาเหตุของแกะเพียงตัวเดียวที่เกียรติยศแห่งบัยตุลลอฮ์และความศักดิ์สิทธิ์ของฮะรอมแห่งนี้จะต้องถูกทำลายลง และเพื่อที่จะไม่ให้แกะตัวนั้นเป็นฉัน และเพื่อมิให้ความเสื่อมเสียและความน่าตำหนิแม้เพียงเล็กน้อยที่จะเกิดขึ้นกับกะบะฮ์และฮะรอมแห่งนี้ โดยเหตุจากการหลั่งเลือดของฉัน ดังนั้นฉันจำต้องออกไปจากเมืองนี้เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศแห่งฮะรอมและกะอ์บะฮ์นี้ แม้ว่าฉันจะถูกสังหารห่างออกไปจากบ้านของอัลลอฮ์ (ซบ.) แห่งนี้เพียงคืบเดียวก็ตาม ย่อมจะเป็นการดีกว่าที่ฉันจะถูกสังหารลง ณ ที่นั้น และเจ้าก็ไม่สมควรที่จะพึงพอใจในอนาคตของเจ้าด้วย ที่เพียงแต่ความมุ่งหวังที่จะมีชีวิตรอดของเจ้า ก็ทำให้เจ้าต้องทำตัวเหมือนนกพิราบที่ยึดเอาบ้านอันศักดิ์สิทธิ์ของอัลลอฮ์ (ซบ.) มาเป็นที่พักพิงของเจ้า และในที่สุดเจ้าจะกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียและการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของบ้านแห่งนี้ไป”

เหตุการณ์ที่เป็นจริงตามความคาดการณ์ของท่านอิมาม (อ.)

    อิบนิซุบัยร์ มิได้ใส่ใจต่อคำตักเตือนของท่านอิมาม (อ.) แต่อย่างใด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้บัยตุลลอฮ์ต้องถูกกระหน่ำด้วยก้อนหินถึงสองคราว (ช่วงเวลาเพียง 30 ปี) ทำให้เกิดไฟไหม้และการพังทลายในสถานที่นั้น ซึ่งการคาดการณ์ล่วงหน้าของท่านอมีรุลมุอ์มีนีน (อ.) ได้กลายเป็นจริง

    เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงสามปี หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ซึ่งตรงกับวันที่ 3 รอบิอุลเอาวัล ปีฮิจญเราะฮ์ศักราชที่ 64  เนื่องจากอิบนิซุบัยร์ไม่ยอมให้สัตยาบันต่อยะซีด ดังนั้นหลังจากสงคราม “ฮุรรอฮ์” เมื่อการสังหารและการปล้นสะดมชาวเมืองมะดีนะฮ์ได้ยุติลง ทหารของยะซีดได้เคลื่อนพลมุ่งสู่มักกะฮ์โดยมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มอิบนิซุบัยร์ กองทหารได้ปิดล้อมเมืองมักกะฮ์ไว้ เมื่ออิบนิซุบัยร์เข้าไปหลบภัยในอาคารกะอ์บะฮ์เพื่อเอาตัวรอด ทหารที่ปิดล้อมจึงตีวงแคบเข้ามาและยิงก้อนหินจำนวนมากเข้าไปในมัสยิดิลฮะรอมและถูกตัวอาคารกะอ์บะฮ์ ทหารเหล่านั้นยังได้เหวี่ยงคบเพลิงเข้าไปอีกด้วย ซึ่งผลจากการกระทำครั้งนี้ทำให้ส่วนหนึ่งของอาคารกะบะฮ์พังทลายลงมา ผ้าคลุมอาคาร เพดาน และเขาของแกะที่ถูกส่งมาจากสวรรค์เพื่อใช้เชือดพลีแทนศาสดาอิสมาอีล (อ.) ก็ถูกเผาทำลายไปด้วย และในระหว่างการโจมตีอย่างดุเดือดนี้เอง ข่าวการตายของยาซีดก็มาถึงมักกะฮ์ ทำให้ทหารเหล่านั้นกระจัดกระจายกันไป หลังจากนั้นอิบนิซุบัยร์ได้บูรณะซ่อมแซมอาคารกะอ์บะฮ์ขึ้นมาใหม่

    ส่วนเหตุการณ์ครั้งที่สอง เกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของยะซีด อิบนิซุบัยร์ได้เรียกร้องให้ประชาชนมาให้สัตยาบันแก่ตนเอง และมีผู้คนทยอยกันมาให้สัตยาบันกับเขา จนกระทั่งมาถึงปีฮิจญเราะฮ์ศักราชที่ 73 ซึ่งเป็นช่วงสมัยการปกครองของอับดุลมาลิก เขาได้ส่งฮัจญาจ บินยูซุฟ มาโค่นอิบนิซุบัยร์ ดังนั้นฮัจญาจพร้อมด้วยกองทหารจำนวนหลายพันคนจึงเข้าปิดล้อมมักกะฮ์ไว้ ในการปิดล้อมครั้งนี้อิบนิซุบัยร์ได้เข้าไปหลบอยู่ในอาคารกะอ์บะฮ์เป็นเวลานานหลายเดือน ในที่สุดฮัจญาจก็มีคำสั่งให้ยิงลูกหินเข้าไปในมัสยิดิลฮะรอมจากห้าจุดด้วยกัน ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่ออาคารกะอ์บะฮ์ ซึ่งตามรายงานของนักประวัติศาสตร์บางท่าน อาคารกะอ์บะฮ์ได้พังทลายลงอย่างราบคาบ และอิบนิซุบัยร์ก็ถูกสังหารในสงครามครั้งนี้ หลังจากนั้นฮัจญาจ บินยูซุฟก็บูรณะซ่อมแซมกะอ์บะฮ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง (2)

การนำเอาอิสลามมาเป็นโล่คุ้มกัน กับการเป็นโล่คุ้มกันให้กับอิสลาม

    ประเด็นหลักและเป็นประเด็นน่าสนใจอย่างยิ่งจากคำพูดของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ต่ออิบนิซุบัยร์ และจากการเปรียบเทียบแนวทางของท่านอิมามและพฤติกรรมของอิบนิซุบัยร์ เป็นการจำแนกแยกแยะให้เห็นถึงขบวนการยืนหยัดต่อสู้ที่เกิดขึ้นในช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความแตกต่างและจุดเด่นของแต่ละขบวนการต่อสู้เหล่านั้นแสดงให้เห็นว่ารัฐบุรุษสองคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ในสังคมและสภาพแวดล้อมเดียวกัน และกล่าวอ้างตนว่าเป็นผู้ต่อสู้กับความอธรรมและความเลวร้ายต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลทั้งสองยังเริ่มต้นการต่อสู้ของตนจากนครมะดีนะฮ์ และเคลื่อนตัวสู่มักกะฮ์ด้วยเช่นเดียวกัน (3)

    เมื่อเวลาและสภาพการณ์ต่างๆ ผ่านไป จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า สำหรับบุคคลหนึ่ง การที่จะไปให้ถึงอำนาจการเป็นผู้นำและรักษาฐานะของตำแหน่งของตนนั้น เขาได้ใช้กะอ์บะฮ์เป็นปราการและโล่กำบังสำหรับตนเอง ในขณะที่อีกบุคคลหนึ่งได้เอาตนเอง ครอบครัวและผู้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของตน เป็นปราการคุ้มกันและเป็นโล่กำบังให้แก่กะอ์บะฮ์ซึ่งเป็นบ้านของพระผู้เป็นเจ้า ผู้หนึ่งพลีอิสลามให้กับฐานะและตำแหน่งชื่อเสียงของตนเอง ในขณะที่อีกผู้หนึ่งยอมพลีเลือดเนื้อของตนเพื่อปกป้องรักษาบ้านแห่งพระผู้เป็นเจ้า (อัลกะอ์บะฮ์)

     สรุปแล้วบุคคลหนึ่งเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ตนเอง ในขณะที่อีกคนหนึ่งเรียกร้องเชิญชวนไปสู่พระผู้เป็นเจ้า ประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ในขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นข้อแตกต่างประการหนึ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญของสาเหตุแห่งความสับสนและความผิดพลาด ของผู้ที่มีความคิดและวิสัยทัศน์ที่คับแคบในทุกยุคสมัย พวกเขาไม่สามารถจำแนกความถูกผิดที่แท้จริงได้เลย ว่าการคัดค้านและการต่อต้านที่อิบนิซุบัยร์ปฏิบัติต่อยาซีดนั้นมีเป้าหมายและเจตนารมณ์อันใดติดตามมา ซึ่งตามรูปแบบภายนอกแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อต้านยาซีดและพวกพ้อง และเป็นการต่อสู่ในหนทางแห่งอิสลาม

    หากอิบนิซุบัยร์เป็นผู้สัจจริงต่อคำกล่าวอ้างของตน และมุ่งมั่นในการต่อสู่ในหนทางของอิสลามจริง ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องรักษาความเป็นผู้นำและฐานะส่วนตนแล้ว เขาก็จะต้องรีบเร่งในการต่อสู้กับศัตรูก่อนหน้าอิมามฮูเซน (อ.) เสียอีก ไม่ใช่ปล่อยให้ตนเองต้องถูกฆ่าตายเยี่ยงนกพิราบที่พักพิงอยู่ ณ ฮะรอม ในขณะเดียวกัน ก็ปรารถนาที่จะให้อิมามฮูเซน (อ.) ออกไปให้พ้นจากเขตแคว้นฮิญาซ เพราะเขาตระหนักดีว่า การคงอยู่ของอิมามฮูเซน (อ.) ในแผ่นดินฮิญาซ จะทำให้ไม่มีใครสามารถก้าวสู่เวทีการเมืองได้เลย

    ใช่แล้ว! ไม่มีใครเลยที่จะสนใจเขา ดังนั้นเจตนารมณ์ของอิบนิซุบัยร์ในการต่อสู้ครั้งนี้ก็คือ การที่จะได้มาซึ่งอำนาจแห่งการเป็นผู้นำ และเพื่อการดึงดูดความสนใจจากประชาชน เป็นการแสวงหาผลประโยชน์และการครอบงำบุคคลเหล่านั้น

พฤติกรรมของอิบนิซุบัยร์

    พฤติกรรมของอิบนิซุบัยร์เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงเนื้อแท้ของความขัดแย้ง และข้อเท็จจริงของการต่อสู้ของเขากับพรรคพวกของยาซีด (หากสามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้) ในขณะหนึ่งเขาต้องหลบหนีออกจากมะดีนะฮ์ เนื่องจากการต่อต้านยะซีดและไปพำนักอยู่ในมักกะฮ์ แต่อีกขณะหนึ่ง ในช่วงที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ต้องการปลดปล่อยมุสลิมให้พ้นจากการครอบงำจากบรรดาสหายของอุษมาน และต้องการให้พวกเขาหลุดพ้นจากความต่ำต้อยและความไร้เกียรติทั้งหลายในอดีต และปรารถนาที่จะให้อิสลามปลอดภัยจากการบิดเบือนและการอุตริ (บิดอะฮ์)

    เมื่อท่านอิมามอะลี (อ.) จะตัดมือผู้ที่ปล้นสะดมและฉวยโอกาสจากบัยตุ้ลมาน อิบนิซุบัยร์ผู้นี้เองที่กลายเป็นจุดหมายในการหลบภัยของบรรดามุนาฟิกีน (ผู้กลับกลอก) เป็นแหล่งซ่องสุมของพวกนากีซีน (ผู้ละเมิดสัตยาบัน) และเป็นเกราะคุ้มกันให้พวกมาริกีน (พวกนอกรีตหรือคลอวาริจญ์) โดยการจัดตั้งพลพรรคและเตรียมแผนการชั่วร้ายขึ้นในนครมักกะฮ์ และเขาได้นำแผนการร้ายดังกล่าวไปปฏิบัติในเมืองที่อยู่ห่างไกลที่มีชื่อว่า “บัศเราะฮ์” โดยใช้บรรดาผู้ต่อต้านและผู้ครองนครที่ถูกปลดออกจากอำนาจ (4) รวมทั้งบรรดามุสลิมที่โง่เขลาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (5) ต้องตกเป็นเครื่องมือในการประกาศสงครามอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลของท่านอิมามอะลี (อ.) เขาได้ลุกขึ้นต่อต้านอิสลามโดยใช้สัญลักษณ์ของอิสลาม โดยอาศัยมุสลิมผู้อ่อนแอกลุ่มหนึ่งที่ตกอยู่ในอุ้งมือของคนเหล่านั้นตั้งแต่ยุคสมัยการปกครองของอุษมาน และพวกนี้ที่ทำให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ขึ้น

    แต่ด้วยสาเหตุของอดีตที่รุ่งโรจน์ของท่านอิมามอะลี (อ.) และการเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องอิสลามนั่นเองที่เป็นเครื่องยับยั้งสัญลักษณ์จอมปลอมในคราบของอิสลาม ที่มุ่งหวังจะทำลายท่านได้อย่างอัตโนมัติ สำหรับการโค่นล้มรัฐบาลของท่านอิมามอะลี (อ.) นั้น พวกเขาใช้จุดโจมตีสองประเด็น ซึ่งความจริงประเด็นดังกล่าวนั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับท่านอิมามอะลี (อ.) เลย อย่างไรก็ตามมันก็กลายเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดในการโจมตีและปักปรำท่าน

    ประเด็นแรก คือการแก้แค้นให้อุษมาน ซึ่งพวกเขาได้กล่าวอ้างว่าเป็นสหายและผู้ที่อยู่รอบข้างท่านคือผู้ที่ลอบสังหารอุษมาน และท่านอิมามอะลี (อ.) นั้นไม่เพียงแต่จะต้องกำจัดคนสนิทของท่าน อย่างเช่น มาลิก อัชตัร และอัมมาร บินยาซีร เท่านั้น แต่ท่านจะต้องจับบุคคลเหล่านี้และส่งมอบให้กับผู้ที่ปฏิวัติอีกด้วย

    ประเด็นที่สอง เป็นการแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อเป็นภาพลวงตาประชาชนด้วยคำพูดที่ว่า “เสรีภาพและการปกครองเป็นของประชาชน” ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้กล่าวหาว่าระบบการปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นระบบเผด็จการและเป็นการจำกัดอำนาจ พวกเขาต่างพูดกันว่า เรามิได้มีความเป็นศัตรูกับอะลี แต่เขาจะต้องละมือออกจากกการปกครอง และประชาชาติมุสลิมจะคัดเลือกบุคคลที่พวกเขาต้องการขึ้นมาทำหน้าที่ปกครองและเป็นผู้นำของเขาโดยอิสระและปราศจากเงื่อนไขใดๆ

    แม้ว่าแผนการอันชั่วร้ายของอิบนิซุบัยร์ จะถูกกำจัดไปพร้อมกับการหลั่งเลือดมุสลิมจำนวนมากกว่าสามพันคน (6) และแม้อิบนิซุบัยร์เองจะกลายเป็นที่ชิงชังของประชาชนจนต้องเก็บตัวเงียบไปชั่วระยะหนึ่งก็ตาม แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าแผนการดังกล่าวนี้เองที่เป็นชนวนและสาเหตุของการเกิดสงครามซิฟฟินและสงครามนะฮ์ระวาน การเป็นชะฮีดของท่านอิมามอะลี (อ.) ก็เป็นผลพวงมาจากแผนการอันเลวร้ายในการต่อต้านอิสลามในครั้งนี้เช่นกัน (ซึ่งตามความคิดของผู้ไร้สติปัญญานั้นถือว่าการกระทำดังกล่าวนั้นคืออิสลามที่สมบูรณ์แบบ)

    สรุปได้ว่า ถึงแม้อิบนิซุบัยร์จะไม่ยอมเข้าอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลของยาซีด เพียงเพื่อจะรักษาอำนาจของการเป็นผู้นำ และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวอันเป็นประโยชน์ทางด้านวัตถุและเป็นการสวมเขาให้กับประชาชนก็ตาม ในขณะเดียวกันเขาก็ยังทำทุกวิถีทางที่จะโค่นล้มรัฐบาลของท่านอิมามอะลี (อ.) เช่นกัน

    ยิ่งไปกว่านั้น อิบนิซุบัยร์ผู้ที่แสดงตนว่าเป็นผู้ต่อต้านยะซีด และกลายเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องทางศาสนาและการเมืองผู้นี้ ภายหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮูเซน (อ.) ผู้คนที่ไม่มีความรู้เท่าทัน ต่างกรูกันมาให้สัตยาบันต่อเขา แทนการให้สัตยาบันต่อท่านอิมามอะลี บินฮูเซน (อ.) (อิมามซัยนุลอาบิดีน) และมอบความรักให้แก่เขาในฐานะผู้นำที่มีความเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง

    ในวันซึ่งมักกะฮ์และสนามแห่งการเมืองไร้อิมามฮูเซน (อ.) และยะซีด จึงเป็นวันที่เขาได้รับความสมหวังสูงสุด แต่เขาก็ยังไม่วางมือจากแผนการชั่วร้าย โดยการแสดงการดื้อด้านและเป็นศัตรูต่อบุคคลในครอบครัว (อะฮ์ลุลบัยต์) ของท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) นั่นคือในช่วงเวลาที่เขาเป็นผู้นำในมักกะฮ์ซึ่งห่างไกลจากรัฐบาลของยะซีดและอับดุลมาลิก เขาได้ละเว้นการกล่าวนามของท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ในการอ่านคุฏบะฮ์ (คำเทศนา) ในนมาซญุมอะฮ์ เมื่อได้รับการคัดค้านจากประชาชน เขาให้คำตอบว่า “เพราะว่าท่านศาสนทูตนั้นมีเครือญาติและลูกหลานที่ไม่ดีและเป็นคนชั่วร้ายอยู่ในหมู่มุสลิม การกล่าวนามของท่านจะทำให้พวกเขาเกิดการลำพองตนและมีหน้ามีตา ฉันจึงยับยั้งการเอ่ยนามของท่านศาสนทูต เพื่อจะได้ทำลายความลำพองของพวกเขาให้หมดไป” (7)


เชิงอรรถ :

(1) อันซาบุลอัชรอฟ เล่ม 3 หน้า 164, ฏ็อบรีย์ เล่ม 5 หน้า 383, อัลกามิล อิบนิอะซีร เล่ม 4 หน้า 38, กามิลุซ ซิยารอต หน้า 88

(2) สรุปจากอัลกามิล อิบนิอะซีร, อัลบิดายะฮ์ วันนิฮายะฮ์ และตารีคุล คุลาฟาอ์

(3) หรือไม่ทั้งสองก็อาจถูกจำคุกเหมือนกัน

(4) ตัวอย่างดังกล่าว เช่น ฏ็อบรีย์ ได้รายงานว่า ยะอ์ลี บินอุมัยยะฮ์ ผู้ปกครองของอุษมานที่เมืองเยเมน ที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งในช่วงการปกครองของท่านอะลี (อ.) เขาเข้ามักกะฮ์พร้อมด้วยทรัพย์สินจำนวนมากและอูฐถึง 400 ตัว เพื่อช่วยเหลือผู้ก่อกบฏแห่งเมืองบัศเราะฮ์

(5) จากการรายงานของฏ็อบรีย์ เช่นเดียวกัน (เล่ม 5 หน้า 12) บุคคลจากเผ่าซัดของเมืองบัศเราะฮ์ ต่างแย่งชิงมูลอูฐของอาอิชะฮ์กัน เพื่อแสวงหาตะบัรรุก พวกเขาต่างสูดดมพร้อมกับกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “โอ้โห มันช่างหอมอะไรเช่นนี้”

(6) ตารีค ยะอ์กูบีย์ หมวดสงครามญะมัล (สงครามอูฐ)

(7) มุรูญุซซะฮับ เล่ม 3 หน้า 28, รายละเอียดของพฤติกรรมต่างๆ ของอิบนุซุเบร ผู้เขียนและคุณฮาวีซีได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ “โดตารีคฮัมกุน”


ที่มา : หนังสือสุนทรพจน์ ฮูเซน บินอะลี (อ.)

แปลและเรียบเรียงโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 149 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

26252330
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
3691
7990
29197
26182758
105036
177228
26252330

พฤ 19 มิ.ย. 2025 :: 07:41:33