ส่วนหนึ่งจากคำปราศรัยของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ฮัซซะฮ์รอ (อ)

ส่วนหนึ่งจากคำปราศรัยของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ฮัซซะฮ์รอ (อ)

    มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลลอฮ์ บนสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ การขอบคุณเป็นสิทธิแด่พระองค์บนสิ่งที่พระองค์ทรงดลใจ การยกย่องสรรเสริญ (เป็นสิทธิแด่พระองค์) ในสิ่งที่พระองค์ทรงหยิบยื่นให้ จากความโปรดปรานอันมากมายที่พระองค์ทรงรังสรรค์ขึ้นมา สิ่งถูกสร้างอันมากมายที่พระองค์ทรงบันดาลให้มันเป็นคุณประโยชน์ และความกรุณาทั้งมวลที่พระองค์ทรงช่วยเหลือนั้นมากมายเกินกว่าที่จะสามารถนับคำนวณมัน และห่างไกลเกินกว่าจะตอบแทนมัน และเกินกว่าที่จะเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นได้ตลอดไป พระองค์ทรงเรียกร้องพวกเขา (ปวงบ่าว) เพื่อขอเพิ่มพูนในความโปรดปรานเหล่านั้น ด้วยการขอบคุณอย่างต่อเนื่อง และทรงเรียกร้องจากบรรดาสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ให้ทำการสรรเสริญอย่างมากมาย และพระองค์ได้ทรงเพิ่มทวีคูณความโปรดปรานเหล่านี้ด้วยการเรียกร้องยังมัน

     และข้าฯ ของปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีภาคีใดต่อพระองค์ อันเป็นถ้อยคำที่พระองค์ทรงทำให้มันเป็นเครื่องแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) และทรงทำให้ดวงใจทั้งหลายผูกสัมพันธ์ยังมัน และทรงให้ความเข้าใจต่อมันนั้นสว่างไสวอยู่ในความนึกคิด พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งดวงตาทั้งหลายถูกหักห้ามจากการมองเห็นพระองค์ และลิ้นทั้งหลายไม่อาจพรรณนาถึงคุณลักษณะของพระองค์ และไม่อาจจินตนาการถึงการดำรงอยู่ของพระองค์

     พระองค์ทรงสร้างบรรดาสรรพสิ่ง โดยที่ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่มาก่อนมัน และพระองค์ทรงบังเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาโดยปราศจากการลอกเลียนแบบจากสิ่งใด ทรงเนรมิตสิ่งเล่านั้นด้วยเดชานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างมันขึ้นมาด้วยพระประสงค์ของพระองค์ โดยปราศจากความจำเป็นใดๆ ต่อการกำเนิดของมัน และปราศจากคุณประโยชน์อันใดสำหรับพระองค์ เพียงเพื่อต้องการให้วิทยปัญญา (ฮิกมะฮ์) ของพระองค์เป็นที่ปรากฏ และให้ตระหนักในการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์ เป็นเครื่องชี้นำทางมนุษย์สู่การยอมตนเป็นบ่าวของพระองค์ ให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียกร้องเชิญชวนของพระองค์ ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงกำหนดผลรางวัลในการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ และทรงกำหนดการลงโทษต่อการละเมิดฝ่าฝืนพระองค์ เพื่อยับยั้งปวงบ่าวของพระองค์จากการโกรธกริ้วที่เพิ่มทวีของพระองค์ และเพื่อชี้นำพวกเขาสู่สวรรค์ของพระองค์

     และข้าฯ ขอปฏิญาณว่า มุฮัมมัด (ซ็อลฯ) บิดาของข้าฯ คือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงเลือกเฟ้นและคัดสรรเขาก่อนที่พระองค์จะส่งเขาลงมา พระองค์ทรงเรียกชื่อเขา(ว่าศาสนทูต) ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างเขา และทรงคัดเลือกเขาก่อนที่พระองค์จะทรงแต่งตั้งเขา ในขณะที่สิ่งถูกสร้างทั้งหลายยังอยู่ในสภาพที่ถูกซ่อนเร้น และอยู่ในความเร้นลับแห่งความมืดมน และอยู่ในสภาวะของการไร้ซึ่งสถานะแห่งการดำรงอยู่ พระองค์ทรงแต่งตั้งเขาอันเนื่องมาจากความรอบรู้ของเขา ที่มีต่อแนวโน้มความเป็นไปของกิจการงานทั้งปวง และมีความรู้ครอบคลุมถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ของยุคสมัย รอบรู้อย่างสมบูรณ์ถึงช่วงเวลาการเกิดขึ้นของกำหนดการต่างๆ ของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งเขามาเพื่อทำให้ภารกิจของพระองค์เกิดความสมบูรณ์ และเป็นการตัดสินพระทัยอย่างแน่วแน่ในการทำให้สัมฤทธิ์ซึ่งข้อกำหนดของพระองค์ และทำให้บรรลุซึ่งความเมตตาทั้งหลายของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงมองเห็นประชาชาติต่างๆ ดำรงตนอยู่บนศาสนาที่หลากหลาย การพรากเพียรสู่ไฟนรกของพวกเขา การสักการบูชารูปเจว็ดต่างๆ การปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าทั้งๆ ที่ (ในสัญชาติญาณนั้น) รู้จักพระองค์

     ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ความมืดมนของประชาชาติเหล่านั้นเกิดความสว่างไสวด้วยกับมุฮัมมัด (ซ็อลฯ)และความมืดสนิทได้ถูกขจัดออกไปจากหัวใจทั้งหลาย และปราการปิดกั้นการมองเห็นของสายตาทั้งหลายถูกทำให้หมดไป ท่านได้ยืนหยัดขึ้นทำหน้าที่ชี้นำประชาชน และทำให้พวกเขาหลุดพ้นออกจากความหลงผิด ทำให้พวกเขามองเห็นหลังจาก (ที่เคยมี) ความมืดบอด และชี้นำพวกเขาสู่ศาสนาอันมั่นคงและแนวทางอันเที่ยงตรง

     จนกระทั่งเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงเอาชีวิตเขากลับไป เป็นการนำกลับด้วยความเมตตา ด้วยการตัดสินใจเลือกอย่างเสรี ด้วยความมุ่งมาตรปรารถนาและการเสียสละ ดังนั้นศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ)จึงอยู่ในความสุขสบาย หลุดพ้นจากความทุกข์ยากของโลกนี้แล้ว ท่านถูกห้อมล้อมจากบรรดาทูตสวรรค์ผู้ทรงคุณธรรม และได้รับความพึงพอพระทัยจากองค์พระผู้อภิบาล ผู้ทรงอภัยโทษอย่างล้นเหลือ และอยู่เคียงข้างผู้ทรงอภิสิทธิ์ ผู้ทรงมหิทธานุภาพ ดังนั้นขอพระผู้เป็นเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทพรแด่บิดาของฉัน ผู้เป็นศาสดาของพระองค์ และเป็นผู้ที่ไว้วางใจของพระองค์ในการประกาศสาส์น (วะฮ์ยู) เป็นผู้ถูกคัดเลือกและเลือกเฟ้นจากมวลมนุษย์ และเป็นผู้ที่พึงพอใจในพระองค์ ขอความศานติ ความเมตตา และความจำเริญจากพระผู้เป็นเจ้าพึงมีแด่ท่าน

    โอ้ ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านคือผู้ถือธงแห่งพระบัญชาและข้อห้ามของพระองค์ และเป็นผู้แบกรับภารกิจแห่งศาสดาและวะห์ยู (วิวรณ์) ของพระองค์ เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากพระผู้เป็นเจ้าต่อตัวของพวกท่านเอง และเป็นผู้ประกาศมันยังประชาชาติทั้งมวล

    พวกท่านอ้างเอาสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าที่มีในหมู่พวกท่านไปเป็นของพวกท่าน ซึ่งมันคือพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมอบไว้แก่พวกท่าน สิ่งที่คงเหลืออยู่ที่พระองค์ได้ทรงสืบทอดมันไว้ในหมู่พวกท่าน คือคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าที่พูดได้ อัลกุรอานที่สัจจริง รัศมีที่ส่องแสง และแสงสว่างที่ส่องประกาย ความลึกซึ้งของมันเป็นที่ชัดเจน ความเร้นลับของมันเป็นที่เปิดเผย เนื้อหาด้านนอกของมันเป็นที่แจ้งชัด บรรดาผู้ปฏิบัติตามมันเป็นผู้ถูกอิจฉา การยึดมั่นปฏิบัติตามมันคือสิ่งที่จะนำไปสู่ความพึงพอพระทัย (ของพระองค์) การรับฟังมันจะนำพาสู่ความรอดพ้น ด้วยสื่อของมัน (อัลกุรอาน) จะทำให้ได้รับรู้ถึงข้อพิสูจน์ต่างๆ อันเจิดจรัสของพระผู้เป็นเจ้า ข้อกำหนดบังคับและข้อห้ามต่างๆ ของพระองค์ที่ถูกอรรถาธิบายไว้ และหลักฐานต่างๆ ของพระองค์ ซึ่งเป็นที่ชัดเจน ข้อพิสูจน์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นการพอเพียงแล้วสำหรับความดีงามต่างๆ อันเป็นที่กล่าวขาน ข้อผ่อนปรนต่างๆ ที่ได้ถูกมอบให้ และบทบัญญัติต่างๆ ของพระองค์ที่ถูกกำหนดชัด

    ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ได้ทรงกำหนดให้ความศรัทธา (อีหม่าน) เป็นสื่อชำระพวกท่านจากการตั้งภาคี และกำหนดให้การนมาซเป็นสื่อที่ทำให้พวกท่านบริสุทธิ์จากความเย่อหยิ่งทะนงตน ทรงกำหนดให้การบริจาคทานซะกาตเป็นสื่อชำระขัดเกลาจิตใจของพวกท่าน และเป็นการเพิ่มพูนปัจจัยดำรงชีพ (ริซกี) และกำหนดให้การถือศีลอดเป็นสื่อที่ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ (อิคลาศ) ทรงกำหนดการทำฮัจญ์เป็นสื่อทำให้ศาสนาเกิดความมั่นคง ทรงกำหนดให้ความยุติธรรมเป็นสื่อเยียวยาบำบัดรักษาดวงใจทั้งหลาย และทรงกำหนดให้การเชื่อฟังปฏิบัติตามเรา (อะฮ์ลิลบัยต์) เป็นสื่อทำให้ประชาชาติดำรงอยู่ในความเป็นระบบระเบียบ ทรงกำหนดให้ความเป็นผู้นำ (อิมามัต) ของเรา เป็นสื่อทำให้รอดพ้นจากความแตกแยก ทรงกำหนดให้การต่อสู้ (ญิฮาด) เป็นสื่อแห่งเกียรติยศศักดิ์ศรี ทรงกำหนดให้ความอดทนเป็นสื่อที่จะได้รับมาซึ่งผลรางวัลตอบแทน ทรงกำหนดให้การกำชับความดีเป็นสื่อนำมาซึ่งคุณประโยชน์ต่อสังคม ทรงกำหนดให้การทำดีต่อบิดามารดาเป็นสื่อทำให้รอดพ้นจากความกริ้วโกรธของพระผู้เป็นเจ้า ทรงกำหนดให้การผูกสัมพันธ์ทางเครือญาติเป็นสื่อทำให้อายุยืนยาว และเป็นการเพิ่มพูนสมาชิกในสังคม ทรงกำหนดให้การกิซ๊อซ (การลงโทษฆ่าติดตามกันไป) เป็นสื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเลือดเนื้อและชีวิต ทรงกำหนดให้การรักษาไว้ซึ่งคำบนบานเป็นสื่อนำมาซึ่งการอภัยโทษของพระผู้เป็นเจ้า ทรงกำหนดให้การระมัดระวังการชั่งตวงเป็นสื่อยับยั้งความบกพร่องในการซื้อขาย ทรงห้ามการดื่มสุราเพื่อเป็นสื่อทำให้เกิดความสะอาดจากพฤติกรรมที่น่ารังเกลียด ทรงห้ามการละเมิดสิทธิ์เพื่อเป็นสื่อยับยั้งจากการออกห่างจากความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ทรงกำหนดให้ละเว้นจากการลักขโมยเพื่อเป็นสื่อทำให้เกิดความสะอาดบริสุทธิ์ และทรงห้ามการตั้งภาคีเพื่อจะทำให้พวกเขาเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจเพียงพระองค์เดียว

    ดังนั้นลักษณะเช่นนี้เท่านั้นที่ควรคู่ต่อพวกท่าน ที่จะทำการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า และจงอย่าจากโลกนี้ไปนอกจากในสภาพที่พวกท่านเป็นมุสลิม (ผู้ยอมสิโรราบต่อพระผู้เป็นเจ้า) และจงเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้และทรงห้ามปราม พึงสังวรเถิด ผู้ที่ทรงความรู้เท่านั้นที่เกรงกลัวต่อพระผู้เป็นเจ้า”

การกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า ของบุตรีท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ)

    ในที่สุดวันที่ 3 ของเดือนญะมาดุซซานี ปีฮิจญ์เราะฮ์ศักราชที่ 11 ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) ได้เรียกขอน้ำเพื่อที่จะใช้ในการชำระล้างและทำความสะอาด (ฆุซุล) ร่างกายของตนเอง หลังจากนั้นท่านได้สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่และนอนลงบนที่นอน และใช้ผ้าสีขาวคลุมบนเรือนร่างของตนเอง เวลาผ่านไปไม่นานนัก บุตรีของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ก็ได้อำลาจากโลกนี้ไป ตามทัศนะที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปนั้น ท่านหญิงมีอายุไม่เกิน 18 ปี และตามทัศนะที่แข็งแรงที่สุดนั้น ท่านหญิงได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ภายหลังจากการจากไปของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) เพียง 95 วัน

    หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) ประชาชนชาวมะดีนะฮ์ต่างมารวมตัวกันอยู่รอบๆ บ้านของท่านหญิง และต่างรอคอยที่จะร่วมพิธีส่งศพและการฝังศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) แต่มีการประกาศขึ้นว่า การฝังศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) ถูกเลื่อนเวลาออกไป ด้วยเหตุนี้ประชาชนต่างพากันแยกย้ายกลับสู่บ้านของตนเอง เมื่อเวลาค่ำคืนมาถึงและดวงตาของประชาชนได้หลับลง อิมามอาลี (อ) ได้จัดการอาบน้ำมัยยิต (ฆุซุล) แก่เรือนร่างอันบริสุทธิ์และได้รับความทุกข์ทรมานของภรรยาของท่านตามคำสั่งเสีย (วะซียัต) ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) โดยปราศจากการเข้าร่วมของประชาชน และหลังจากเสร็จสิ้นการอาบน้ำมัยยิต ท่านได้จัดการห่อศพให้กับท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ)

     อิมามอาลี (อ) ได้ใช้ให้อิมามฮาซัน (อ) และท่านอิมามฮุเซน (อ) (ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเด็กอยู่) ไปแจ้งข่าวแก่บรรดาสาวก (ซอฮาบะฮ์) ของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ที่ท่านหญิงมีความพึงพอใจต่อพวกเขา เพื่อให้มาร่วมในการฝังศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) (และบุคคลเหล่านั้นมีจำนวนไม่เกิน 7 คน) ภายหลังจากที่บุคคลเหล่านั้นได้มารวมตัวกัน ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน (อ) ได้ทำนมาซให้กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) และต่อจากนั้นอิมามอาลี (อ) ได้จัดการฝังร่างของท่านหญิงซะฮ์รอ (อ) ลงสู่พื้นดิน ท่ามกลางความทุกข์ระทมและความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาลูกๆ ตัวน้อยของท่าน ซึ่งแอบร้องไห้เนื่องจากการจากไปของมารดาผู้ที่เยาว์วัยของตน เมื่อการฝังร่างของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) เสร็จสิ้นลง ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน (อ) ได้หันหน้าไปทางหลุมฝังศพของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) พร้อมกับกล่าวว่า

     “ความศานติพึงมีแด่ท่าน โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) (เป็นคำวอนของ) จากข้าพเจ้าและจากบุตรีของท่าน ซึ่งร่างของเธอถูกฝังลงอย่างสงบเคียงข้างท่าน และได้ติดตามท่านไปในระยะเวลาที่รวดเร็ว

     โอ้ ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ความอดทนอดกลั้นของข้าพเจ้าต่อการจากของผู้เป็นที่รักของท่าน ช่างลดน้อยลงเสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าแทบจะสิ้นสลายลงพร้อมกับการจากของเธอ เราเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และเราจะกลับคืนสู่พระองค์ ในไม่ช้านี้บุตรีของท่านจะได้แจ้งข่าวแก่ท่าน ในสิ่งที่ประชาชาติของท่านได้สร้างสมและได้อธรรมต่อเธอ ท่านจงถามเรื่องราวต่างๆ จากเธอเถิด และเธอจะเล่าสิ่งเหล่านั้น ....”

     ปัจจุบันหลังจากกาลเวลาได้ผ่านพ้นไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน หลุมฝังศพของผู้เป็นหัวหน้าของมวลสตรีแห่งสากลโลกก็ยังคงถูกซ่อนเร้น และไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงสถานที่ฝังของท่าน บรรดามุสลิมกำลังเฝ้ารอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี (อ) ผู้ปลดปล่อยที่ยิ่งใหญ่แห่งพระผู้เป็นเจ้า และเป็นบุตรท่านที่ 11 ในท่ามกลางบรรดาอิมาม (อ) ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) เพื่อที่ว่าท่านผู้นี้จะเป็นผู้เปิดเผยหลุมฝังศพที่ถูกซ่อนเร้นของมารดาของท่าน และจะทำให้ความอธรรมและการกดขี่ที่ปรากฏอยู่ทั่วทุกมุมโลกได้สิ้นสุดลง

     ความทุกข์ระทมที่เกิดจากการที่ท่านอำลาจากโลกนี้ไปประสบแก่สามีของท่าน ซึ่งเป็นผู้ร่วมชีวิตกับบิดาของท่านในการต่อสู้เสียสละและเป็นผู้ร่วมชีวิตของท่านด้วย

     ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์หลับตาของท่านลงอย่างสนิท หลังจากสั่งเสียสามีในเรื่องเกี่ยวกับลูกที่ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ขณะเดียวกันก็สั่งเสียว่าให้ทำพิธีศพและฝังท่านอย่างลับที่สุด ไม่ให้คนภายนอกเข้ามาร่วมเด็ดขาด

    ฉะนั้น สุสานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รออ์ จึงเป็นความลับอยู่จนกถึงทุกวันนี้ เท่ากับท่านทำเครื่องหมายคำถามอันยิ่งใหญ่ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม

    ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะรออ์ ยังคงตั้งคำถามไว้ในประวัติศาสตร์ อันหมายความว่า ท่านยังเรียกร้องสิทธิของท่านอยู่ และบรรดามุสลิมก็ยังคงไต่ถามเกี่ยวกับที่ตั้งของสุสานที่ไม่มีใครรู้จักอยู่ตลอดมา


แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 171 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

26256992
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
8353
7990
33859
26182758
109698
177228
26256992

พฤ 19 มิ.ย. 2025 :: 19:16:44